A Man Called Ove
- haveyoureadbkk
- Dec 26, 2015
- 1 min read
Updated: Sep 30, 2021

คะแนน: ★★★★★
แปลไทย: ชายชื่ออูเว
สิ่งแรนด้อมที่แว่บขึ้นมาในสมองแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยตอนตีสาม: ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสรับรู้ประสบการณ์การอ่านอูเวเป็นครั้งแรกอีกแล้ว เสียดายจังอะ
โอเค กลับเข้าเรื่องกันเถอะ 555
นี่คือวรรณกรรมร่วมสมัยสัญชาติสวีเดน ที่น่าจะกลายเป็นตำนานของนักอ่านทั่วโลกไปแล้ว เพราะช่วงที่ออกมาใหม่ ๆ (ประมาณปี 2015) บอกเลยว่าสดใหม่มาก ด้วยความฟีลกู๊ดแบบตลกหน้าตาย เล่นกับข้อความระหว่างบรรทัด และหลอกล่อกับความรู้สึกคนอ่านจนเรียกได้ว่าเป็นโรลเลอร์โคสเตอร์ทางอารมณ์ ทำเอาคนอ่านหัวเราะสลับร้องไห้ สับไปสับมาเหมือนคนเสียจริต เป็นการตีแผ่ความบัดซบของชีวิตออกมาในรูปแบบที่ไม่ลดทอนความเศร้า แต่ใส่ความเข้าใจและความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นจนรู้สึกหนักอึ้งในใจไปหมด
ความจริงมาถึงยุคนี้ คนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกับชื่อของ เฟรียดริค บัคมัน ในระดับนึงแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เคยได้ยิน และไม่เคยอ่านงานของเขามาก่อน ลองอ่านไปพร้อมกับเราได้นะ ลุย!
1.
อูเว เป็นมนุษย์วัยเกษียณที่นิสัยเสียแถมน่ารำคาญ ทุกอย่างที่คิดที่ทำก็เหมือนจะขวางโลกไปหมด พูดง่าย ๆ คือทำตัวเป็นมนุษย์ลุงที่แสนน่าเบื่อ แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เพราะบางครั้งเจ้ากรรมนายเวรก็มาในรูปแบบของเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นครอบครัวยุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยคุณแม่วัยสาวชาวอิหร่าน สามีทึ่มทือที่ทำงานในบริษัทไอที และบรรดาลูกสาวที่น่ารัก ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ถึง 2.5 คน!!! ยังไม่นับเจ้าแมวนั่นอีก ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป น่าเบื่อจริง
การมาถึงของครอบครัวประหลาดนี้ จะทำให้อูเวต้องจับพลัดจับผลู ต้องออกไป เอ่อ ... ปฏิสัมพันธ์กับชีวิตชาวบ้านมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เขาได้หวนคิดถึงช่วงเวลาในอดีต เปิดหัวใจให้คนอ่านได้รับรู้ถึงความทรงจำที่เจ็บปวดและสวยงาม ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใต้หน้าบูดเป็นตูดหมึกของลุงผู้นี้อย่างคาดไม่ถึง 2.
หนังสือดีสำหรับเราไม่ใช่แค่หนังสือที่สนุก แต่ต้องเป็นหนังสือที่เรื่องราวติดอยู่ในใจ และทำให้เราได้สะท้อนคิดถึงประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมรอบตัวด้วย ซึ่งเล่มนี้ก็ทำให้เราได้คิดหลายเรื่องพอสมควร หลัก ๆ เลยคือเรื่อง aging society และสังคมสวัสดิการ ว่าทำไมระบบในประเทศสวีเดนมันถึงได้เจริญจังวะ แม้แต่คนแก่หรือคนพิการก็สามารถมีชีวิตที่ดี (ในระดับกายภาพ) ได้อะ ถึงแม้ว่าหัวใจของเรื่องจะสื่อว่าการบริหารจัดการของรัฐบางอย่าง อาจทำให้มองข้ามองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ไปบ้างก็เถอะ
แต่การที่ซอนย่าสามารถเป็นครูได้ หรือคนแก่ตัวคนเดียวอย่างอูเว ยังสามารถมีชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบายได้หลังวัยเกษียณแบบนั้น มันก็ทำให้เรานึกถึงตัวเองเหมือนกันนะ ว่าแก่ตัวไปจะอยู่ยังไง 5555 3.
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือเรื่องของการรับมือกับความสูญเสีย และพลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้เราก้าวเดินต่อไปในวันที่มืดหม่น เราอ่านเรื่องนี้เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักความสูญเสียได้ดีเท่ากับตอนนี้ พอได้มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกเข้าอกเข้าใจความคิดของอูเวมากขึ้นเยอะมาก ทั้งความโกรธที่สะสมอยู่ในใจ ความเสียใจที่ไม่ว่าใครก็หยั่งไม่ถึง กลายเป็นเมสเสจบางอย่างที่มีความทัชใจแรงมาก พูดง่าย ๆ คือแม้เนื้อเรื่องออกจะสูตรสำเร็จอยู่สักหน่อย แต่รายละเอียดยิบย่อยที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดต่างหากที่ทำให้เล่มนี้มีความหมายกับคนอ่านอย่างล้นเหลือ 4.
ตอนช่วงต้นเรื่องอาจจะต้องใช้เวลากับมันสักเล็กน้อย ไม่น้อยล่ะนานเลย เพราะชีวิตของคนแก่อาจจะไม่มีอะไรหวือหวามากนัก แถมยังเป็นคนแก่ขี้บ่นทูเดอะแม๊กซ์ บ่นไปบ่นมากับชีวิตคนรุ่นใหม่ ออกไปกวาดหน้าบ้านก็บ่นนิติบ้างอะไรบ้าง ฯลฯ คือ ประมาณ 70-100หน้าแรกจะเป็นจุดวัดใจอย่างมาก เพราะมันน่าเบื่อมากกกก น่าเบื่อเหมือนมีลุงมาด่ากรอกหูให้ฟังแบบนั้นเลย เป็น Slice of Life รูปแบบของลุงที่ทัศนคติติดลบ แต่ความตลกมันจะเริ่มจะฉายแววออกมา เมื่ออูเวต้องออกไปปะทะคารมกับเพื่อนบ้านจอมป่วนครอบครัวใหม่บ่อยขึ้น แล้วพอเราเริ่มชินกับโทนเรื่องก็จะรู้สึกเอนจอยไปเอง
5.
หัวใจสำคัญของเรื่อง หรือพระเอกตัวจริง น่าจะเป็นช่วง flashback ต่าง ๆ ที่บางช่วงก็แสนจะอบอุ่นเหมือนมโครเวฟ แต่ในขณะเดียวกันบางช่วงก็แสนจะเยียบเย็นและบีบคั้นเหมือน ชวนให้เสียน้ำตาไปกับความบัดซบของชีวิต และประทับใจเรื่องของความรักที่ลุงมีต่อซอนย่า โรแมนติกมากบอกเลย
นอกเหนือจากความโรแมนติกแล้ว ในเรื่องก็ยังสอดแทรกรูปแบบความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบ สิ่งที่เราเรียนรู้จากอูเว่ บทเรียนสำคัญคือ 1. บางครั้งเราก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวเองให้ใครเข้าใจ เพราะคนที่เขาใส่ใจเรา คงเข้าใจเราได้ในแบบที่ไม่ต้องมาเสียเวลาพูดเยอะ เขาคงไม่มีวันมองเราในแง่ร้ายด้วย และ 2. ชีวิตคนบางคน เขาอาจจะไปประสบพบเจออะไรมาที่ทำให้เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยน่าคบหาด้วย ยังไงก็อย่าลืมใจดีกับคนรอบข้างให้มากๆนะ
6.
สรุปคือ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้อ่าน ถ้าเป็นไปได้อยากให้อ่านเล่มนี้เป็นเล่มแรกก่อนเล่มอื่นๆของบัคมัน (เพราะงานชิ้นใหม่ๆพลอตล้ำขึ้นกว่านี้เยอะมากแล้ว ถ้าอ่านเล่มนี้ทีหลังจะไม่ฟิน)
ส่วนคนที่ไม่อยากอ่านแปลไทย ฉบับภาษาอังกฤษภาษาที่ใช้ไม่ยากมากแหละ (แต่อาจจะงง ๆ หน่อย เพราะเป็นสำนวนที่แปลจากภาษาสวีเดนอีกที) รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน


コメント