The Midnight Library
- haveyoureadbkk
- Dec 26, 2020
- 2 min read
Updated: Sep 30, 2021

คะแนน: ★★★★☆
แปลไทย: มหัศจรรย์ห้องสมุดเที่ยงคืน
ความรู้สึกตอนอ่านมันจะประมาณนี้:
อึ้ม เรื่องเดาได้
แต่มันดีกว่าที่คิดเลยแฮะ
อื้ม ดีมาก ประทับใจ
แต่แล้วช่วงท้ายๆ ดันกลายเป็นประมาณนี้:
(เสียงอังเคิ่ลโรเจ้อ)
โอ้มายก๊อด หยู่คิ้ลลิ่นมี๊--
ไฮ๊ยาาาา
แปลว่ารีวิวนี้มันจะยาวแหละ คือร่างกำลังจะแยกเป็นสองซีก ใจนึงก็ชอบ แต่ใจนึงมันมีอะไรมาขัดใจลึกๆ
The Midnight Library โดย Matt Haig คือดีต่อใจ ละเมียดละไม และย่อยง่าย (ง่ายแบบ ง่ายมากก) ภาษาอังกฤษก็ไม่ยากด้วย (คุยกับมิตรสหายท่านนึง ว่ากันว่าสำนวนแปลภาษาไทยมันไม่ช่วยให้เข้าถึงแก่นของตัวละครเอาเสียเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย)
อาจจะเพราะถูกจังหวะถูกเวลากับสภาพจิตใจตัวเองในตอนนั้นพอดีรึเปล่า เลยรู้สึกอยากขอบใจตัวเองมากที่ตัดสินใจอ่าน 5555 แต่เฉกเช่นเดียวกับหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อความแมส เล่มนี้ก็มีจุดอ่อนหลายจุดที่ไม่อาจมองข้ามอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังจบที่สี่ดาวแหละ
'Because Nora, sometimes the only way to learn is to live.'
1.
นอรา ซี้ด ตัวเอกวัย35 ของเรา ประสบกับภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง เธอทิ้งแดน แฟนของเธอสองวันก่อนแต่งงานและยังเสียใจกับตัวเองถึงทุกวันนี้ ความสัมพันธ์กับพี่ชายคนเดียวก็ย่ำแย่ เพื่อนสนิทคนเดียวที่เหลือก็ขาดการติดต่อกันไป แถมเจ้า โวลแตร์ แมวสุดที่รัก ดันมาโดนรถชนตายวันเดียวกับที่โดนไล่ออกจากงานที่ร้านขายอุปกรณ์ดนตรีอีก (นอรารู้สึกเหมือนมีคำว่า ล้มเหลว สักอยู่บนหน้าผากแบบ full HD)
คือมันเป็นวันแย่ๆ ที่ทำให้เรื่องแย่ๆมันประดังประเดอย่างหนัก ความเสียใจและผิดหวังมันมากมายเกินจะทนไหว ในโลกอันแสนกว้างใหญ่เธอตัวเล็กและด้อยค่าเหลือเกิน...สุดท้ายเธอคิดอยากตัดตอนตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งปรากฏว่ามันทำให้เธอไปโผล่ยังมิติที่เรียกว่า The Midnight Library (นั่นไง ขนาดจะตายยังล้มเหลวเลย นอราคิด) ที่ซึ่งนาฬิกาหยุดไว้ที่เวลาเที่ยงคืนตลอดไป และหนังสือทุกเล่มคือตัวแทนของทุกความเป็นไปได้ของชีวิต
และในแต่ละความเป็นไปได้เหล่านี้ ก็คงจะมีสักแบบของชีวิต ที่นอราจะไม่มีคำว่าเสียใจ
จะเป็นอย่างไรถ้านอรา ได้เป็นนักธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อมที่แอนตาร์กติกาตามฝันในวัยเด็ก หรือถ้าเธอตะบี้ตะบันฝึกซ้อมว่ายน้ำอย่างหนักหน่วงจนได้ไปแข่งโอลิมปิก หรือถ้าชีวิตที่เธอกับแดนได้แต่งงานกัน...แบบนั้นจะทำให้เธอหายเศร้าได้มั้ย ถ้าหากเธอกับพี่ชายตัดสินใจเซ็นสัญญากับบริษัทเพลง ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะยังแนบแน่นอยู่หรือเปล่า และจะมีจริงหรือไม่ กับชีวิตที่ว่า...ถ้าเธอดูแลต้าวแมวโวลแตร์อย่างดี มันคงไม่ตายก่อนวัยอันควร
ถ้า/ถ้า/ถ้า/ถ้า ... โดยมีเงื่อนไขคือ ในทุกชีวิตที่เธอได้ลองใช้ หากรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อไหร่ เธอจะถูกดึงกลับมาที่ The Midnight Library โดยอัตโนมัติ
คนอยากตายดันไม่ได้ตายสักที นอกจากจะไม่ตายแล้ว ยังได้ใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีกซะงั้น นอรากำลังจะได้พบกับบทเรียนแสนวิเศษ เพราะบางครั้งวิธีเดียวที่จะเข้าใจความลับของชีวิต คือการได้ลองใช้ชีวิตในแบบของตัวเองดูสักครั้งแหละ
2.
เห็นมั้ย บอกแล้วว่าพลอตคลิเช่มากและไม่มีอะไรใหม่ แต่หนังสือเล่มนี้ก็เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างหลายๆอย่าง ทั้งปรัชญา (นอราจบ ป.เอกด้านปรัชญามา เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน มักจะนึกถึงคำพูดของเฮนรี เดวิด ธอโร เสมอ อันนี้เป็นกิมมิคแบบงงๆ อาจจะเพราะเราไม่อินกับธอโร), mental health, ความสัมพันธ์ และวิทยาศาสตร์ (เพราะหัวใจของเรื่องก็โยงกับควอนตัมฟิสิกส์ในระดับนึง) คือเอารวมๆ ตกผลึกได้แล้วก็ไม่แปลกใจที่มีคนเบ้ปากใส่เล่มนี้ ว่าเป็นหนังสือ self-help แปลงกายมาชัดๆ เพราะอ่านไปเรื่อยๆเราจะไม่ได้นึกถึงนอราแล้ว เราจะนึกถึงตัวเอง และแต่ละประโยคมันจะเหมือนพูดใส่เราตลอดเวลา
แต่ถ้าพูดในฐานะของคนที่ชอบจมปลักกับอดีต และมีลิสท์ความเสียใจยาวเป็นหางว่าว แถมช่วงที่อ่านยังเป็นช่วงที่อารมณ์ดิ่งสุดๆ เล่มนี้ทำหน้าที่ยิ่งกว่าเยียวยา มันช่วยเราปลดล็อกปมบางอย่างระหว่างอ่านไปแบบไม่รู้ตัวเลยแหละ
But she'd been feeling lonely. And though she'd studied enough existential philosophy to believe loneliness was a fundamental part of being a human in an existentially meaningless universe, it was good to see him.
3.
ส่วนที่ชอบคือ สำนวนการเขียนแบบธรรมดาๆ อ่านได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เนื้อเรื่องที่ถูกหั่นเป็นตอนสั้นๆทื่อๆ ทำให้อ่านผ่านไปได้แบบเร็วๆ เราเอนจอยกับการอ่านเล่มนี้มากเพราะมันย่อยง่าย รักความสัมพันธ์ของนอรากับพี่ชาย และความฝันพิสดารของเธอมาก (นอราฝันอยากเป็นหลายอย่าง ส่วนตัวเราชอบตอนไปลองชีวิตที่ได้เซ็นสัญญาวง The Labyrinths ที่ตัวเองตั้งกับพี่ชายกับบริษัทเพลงจนดังระดับโลกที่สุด มันบ้าบอแต่ก็แอบเศร้าด้วย)
อีกเรื่องที่ชอบคือ พอนอราหลุดเข้าไปในห้องสมุดปุ๊บ มันก็เหมือนภาพตัดอะ เหมือนได้โอกาสในการมองย้อนกลับมาดูความฝันของตัวเองในวัยเด็กด้วย กลับมาดูโมเม้น whatifs ในชีวิตตัวเองด้วย เป็นความรู้สึกที่หวานอมขมกลืน ชวนให้น้ำตาตกในเฉย ขอตีอกชกหัวแป๊บ (หรือเพราะเราชอบทรมานตัวเองให้เสียใจ 555)
แต่มันก็เลยนำมาสู่ .. ตอนจบงงๆ
จะสปอยล์ละนะ 3...2....1
จุดที่งงนิดหน่อยคือ ชีวิตสุดท้ายของนอรา เป็นชีวิตเรียบง่ายที่แต่งงานมีลูก กับผู้ชายที่แสนเพอร์เฟค (อือ เราเห็นผู้อ่านกำลังส่ายหน้า และบอกว่าอย่านะ...) แต่มันก็เป็นอย่างที่เธอคิดเลย นอราถูกอกถูกใจชีวิตนี้!! ป๊าดดด มาพอใจกับอะไรก่อน นอราแค่ "สวม" เข้าร่างของคนๆนี้โดยไม่ได้มีความทรงจำหรือความรู้สึกร่วมด้วยซ้ำว่ามารู้จัก หรือรักกับผู้ชายคนนี้ได้ยังไง ลูกคนนี้เอาจริงก็ไม่ใช่ของนอรา (แต่เป็นลูกของนอราในจักรวาลคู่ขนาน) ความผูกพันมันผุดขึ้นมาได้ยังไงจนอยากหยุดเวลาไว้ที่ชีวิตนี้?
ที่สำคัญ ถ้าสุดท้ายก็จบแบบเดิมๆ ที่อยากมีครอบครัวอยู่บ้านที่มีชีวิตธรรมดาๆ แล้วจะให้ตรากตรำ ผ่านบททดสอบชีวิตอะไรมากมายล่ะ สรุปว่าบทเรียนที่นอราได้จากชีวิตเหล่านั้นคืออะไร ในเมื่อตอนแรกอยากทำตามความฝันของตัวเอง ได้ผจญภัยในหลายๆอย่าง แต่พอได้ลองทำกลับรู้สึกว่าก็แต่งงานมีลูกดีกว่า (?) มันแอบย้อนแย้งกับทุกอย่างที่ผ่านมาไปหน่อยรึเปล่า
เราว่าพวก trope แนว and they happily ever after แบบนั้นคือเรารู้สึกว่ามันหัวโบราณและน่าเบื่อมากกกก (ก ไก่ x infinity) ชวนกลอกตาสุดๆ เลยไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ไฮ๊ยาาา
4.
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เล่มนี้ของ เฮก ผู้ชอบเล่นกับควอมตัมฟิสิกส์ (จากเล่ม How to Stop Time) และเคยซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตายมาก่อน (จากเล่ม Reasons to Stay Alive) เป็นหนังสือที่ดีนะ เมสเสจที่หนังสือเล่มนี้ส่งให้เรา เหมือนปลุกให้ตื่นจากปมบางอย่างที่ค้างคาใจมานาน...แม้การเดินทางของนอราจะพบกันตอนจบที่อิหยังวะไปหน่อย แต่นอรา คือตัวแทนของพวกเราทุกคนที่ผิดหวัง ฝันพัง ใจสลาย .. ในวันคืนที่ดำมืด เราอาจจะอยากได้พียงโอกาสอีกสักครั้ง ที่จะมีวันที่เราไม่ต้องเสียใจแหละ
Of course, we can't visit every place or meet every person or do every job, yet most of what we'd feel in any life is still available. We don't have to play every game to know what winning feels like. We don't have to hear every piece os music in the world to understand music. We don't have to have tried every variety of grape from every vineyard to know the pleasure of wine. Love and laughter and fear and pain are universal currencies.
5.
เอาจริงสำหรับเราถือว่าไม่ค้านสายตาที่เล่มนี้ได้รางวัล The Best Fiction ประจำปี 2020 จากผลโหวตของนักอ่านใน goodreads (72,000 กว่าคะแนน) เป็นเล่มที่เข้าอกเข้าใจโรคซึมเศร้าดี และใจดีกับความรู้สึกเสียดาย (regrets) ใจดีกับความรู้สึกของคนที่พยายามตามหาที่ทางของตัวเองในโลกใบนี้ แต่บางครั้งกลับรู้สึกเคว้งคว้าง ติดอยู่กับแรงกดดันทั้งภายนอกและภายในใจตัวเอง
สรุปคือ ให้ลองอ่านดู เหมือนดูหนังฟีลกู๊ดดีๆสักเรื่องที่ไม่ต้องคิดเยอะ แต่ถ้าใครมองหาเรื่องราวที่ซับซ้อน มีมิติ มีชั้นเชิงกว่านี้ในการตกผลึกความคิดและดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของตัวละครที่หลากหลาย มองหาความสมเหตุสมผลแบบที่ไม่ตกหล่มความเป็นสูตรสำเร็จจนเกินไป เล่มนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่

Comments