All the Light We Cannot See
- haveyoureadbkk
- Jun 26, 2017
- 1 min read
Updated: Oct 17, 2021

คะแนน: ★★★★★
แปลไทย: (ไม่มี)
นี่คือหนึ่งในหนังสือเล่มที่เรารักที่สุดในชีวิต โอเค นัมเบอร์วัน ยอมทุกอย่าง
All the Light We Cannot See ของ Anthony Doerr เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ปี 2014 คือทุกนิยามของความสวยงามที่ตราตึงใจ เหมือนแหงนหน้าดูดาวบนท้องฟ้า งดงามละมุนละไมจนน้ำตาจะไหลแบบไม่รู้ตัว อ่านทีไรก็ขนลุก อยากวิ่งไปที่หน้าผาแล้วตะโกนว่า "ดี!!!" ใจเจ็บไม่ไหว ประทับใจในความละเอียดอ่อนที่แต่ละชีวิตได้มาสัมผัสกัน ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
1.
เหตุการณ์เริ่มขึ้นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน มารี ลอร์ อาศัยอยู่กับพ่อ ซึ่งทำงานเป็นผู้รักษากุญแจของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งปารีส ด้วยความที่เธอตาบอดตั้งแต่เล็ก พ่อจึงสร้างโมเดลเมืองเล็กๆไว้ เพื่อเป็นตัวช่วยให้เธอจดจำเส้นทางกลับบ้านได้เหมือนคนปกติ หนังสือเล่มโปรดของเธอคือ ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ ของจูลส์ แวร์น เป็นสิ่งที่ทำให้เธอหลงใหลในสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล
เมื่อเธออายุได้สิบสองปี นาซีเข้ายึดครองปารีส เธอกับพ่อจึงหนีไปยังที่เมืองเล็กๆติดทะเลชื่อ แซงต์-มาโล (Saint-Malo) ที่ซึ่งลุงทวดของเธออาศัยอยู่อย่างเงียบสลบในบ้านทรงสูงอันอัดแน่นไปด้วยความหลัง ภายในกระเป๋าของสองคนพ่อลูกคือ Sea of Flames อัญมณีจากพิพิธภัณฑ์ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ตำนานว่ากันว่ามันคืออัญมณีต้องสาป และทุกคนที่ครอบครองมันจะต้องมีอันเป็นไปแบบที่คาดไม่ถึง 2.
ขณะเดียวกันที่เมืองเล็กๆในเยอรมนี เวอร์เนอร์ คือเด็กกำพร้าที่หลงใหลในกลไกของเครื่องวิทยุ สิ่งประดิษฐ์ที่นำพามาซึ่งเรื่องราวน่าอัศจรรย์ใจมาสู่ชีวิตอันแสนเรียบง่ายและเงียบเหงาของเขาและน้องสาว เมื่อไฟสงครามประทุขึ้น เวอร์เนอร์ได้กลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยุของกองกำลังยุวชนฮิตเลอร์ ซึ่งหนึ่งในงานสำคัญที่ได้รับมอบหมายคือการติดตามสายลับ และกลุ่มต่อต้านนาซี
ด้วยใจที่หนักอึ้งยามตระหนักถึงหลายชีวิตที่สูญเสียไปเพราะความสามารถของเขา สงครามได้นำพาเวอร์เนอร์มายังเมืองแซงต์-มาโล ที่ซึ่งโชคชะตาของเขาและมารี ลอร์ กำลังจะหลอมรวมกันเป็นเรื่องราวที่ยากจะลืมเลือน เหมือนอยู่ในความฝัน
"When I lost my sight, Werner, people said I was brave. When my father left, people said I was brave. But it is not bravery; I have no choice. I wake up and live my life. Don't you do the same?"
แม้ว่านี่ไม่ใช่หนังสือรัก แต่ทุกอย่างที่ถักทอขึ้นมาเป็นเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้คือความรัก ความรักของพ่อที่มีต่อมารี ลอร์ ความรักของมารี ลอร์ ที่มีต่อสิ่งรอบกายแม้ดวงตาจะมองไม่เห็น และความรักของเวอร์เนอร์ ที่มีต่อรายการวิทยุเกี่ยวกับดวงดาวและอวกาศ ซึ่งเขาบังเอิญจับสัญญาณได้ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
3.
เราชอบที่เล่มนี้ไม่ค่อยเน้นความเป็นอเมริกันเหมือนพูลิตเซอร์เรื่องอื่นๆ (ที่มักจะมีตีมเกี่ยวกับการก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ เพื่อปลดแอกอิสรภาพในหลากหลายมิติ เช่นอัตลักษณ์และพื้นที่ในสังคม เสียดสีระบบและสังคมร่วมสมัย) All the Light We Cannot See เหมือนจะสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ในรูปแบบที่ละเมียดละไมกว่ามาก เป็นเรื่องราวของความหวังและการยืนหยัดต่อสู้ท่ามกลางความมืดมิด (ทั้ง literally และ figuratively)
อีกจุดที่รักมากและมองข้ามไม่ได้คือ ตัวละครทุกตัวจะทำหน้าที่หมือนงานศิลปะที่กระตุ้นความรู้สึกนึกคิดของเราออกมาได้หลากหลายประดังประเดไปหมด สำนวนการเขียนคือระดับมาสเตอร์พีซ เหมือนอ่านงานกวีนิพนธ์ชิ้นเอก ภาษาสละสลวยงดงามและทัชใจ มีการใช้โวหารเปรียบเปรยในเชิงน้อยแต่สื่อความหมายได้มากมายมหาศาล ทุกประโยคถูกส่งออกมาเป็นจังหวะสั้นๆราวกับการส่งสัญญาณวิทยุที่เรียบง่าย แต่รับรู้ได้ด้วยหัวใจ (แต่เลยทำให้คนเกลียดเล่มนี้ไปเลยเยอะมาก เพราะใช้คำฟรุ้งฟริ้งเกินเบอร์ไปหน่อย อันนี้น่าจะแล้วแต่จริตคนอ่าน)
การเขียนของโดเออร์ จะพาเราก้าวข้ามผ่านช่วงเวลา เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอันกว้างใหญ่ในปารีส ไปยังหมู่บ้านเหมืองถ่านหินสุดอ้างว้างในเยอรมนี เรื่อยมาจนถึงเมืองป้อมปราการริมชายฝั่งมหาสมุทธแอตแลนติก ในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนถูกกองทัพนาซีเผาทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง 4.
สรุปคือ อยากให้ทุกคนลองอ่านหนังสือเล่มนี้สักครั้งในชีวิต มันเป็นประสบการณ์อ่านตัวหนังสือที่สุดจะเข้มข้นและตื่นตะลึง มีความเหงา เศร้า อ้างว้าง และสวยงาม ตื่นเต้น สมจริงและเหนือจริงคละเคล้ากันไปอย่างสุนทรีย์
ถ้าชอบอ่านหนังสือแนวนี้:
The Illusion of Separateness | Simon Van Booy
The Nightingale | Kristin Hannah
A Tale for the Time Being | Ruth Ozeki
Comments